ควรเช่าโกดังเก็บของขนาดไหนให้เหมาะกับธุรกิจของคุณ

ควรเช่าโกดังเก็บของขนาดไหนให้เหมาะกับธุรกิจของคุณ

การเช่าโกดังเก็บของไม่ใช่แค่การหาที่เก็บสินค้าเท่านั้น แต่เป็นการวางแผนในการทำธุรกิจระยะยาว เพราะขนาดของโกดังมีผลต่อต้นทุน การบริหารจัดการสต็อก และการขนส่ง หากเลือกขนาดผิด อาจส่งผลต่องบประมาณได้ วันนี้จะพาไปดูแนวทางการเลือกขนาดโกดังเก็บของให้เหมาะกับธุรกิจของคุณว่าควรเลือกขนาดไหนดี

ทำไมการเลือกขนาดโกดังเก็บของจึงสำคัญ?

โกดังเก็บของเป็นเหมือนหัวใจของระบบโลจิสติกส์ เพราะทุกกระบวนการตั้งแต่การรับสินค้า การจัดเก็บ ไปจนถึงการกระจาย ต้องอาศัยพื้นที่ที่เหมาะสม หากโกดังใหญ่เกินไป ค่าเช่าจะสูง แต่ถ้าโกดังเล็กเกินไปก็จะเกิดปัญหาความแออัด เก็บของไม่พอ ต้องขยายพื้นที่หรือเช่าเพิ่มภายหลัง ซึ่งทั้งสองกรณีนี้ล้วนกระทบต้นทุนและความคล่องตัวของธุรกิจโดยตรง

แนวทางการประเมินขนาดโกดังให้เหมาะสมกับธุรกิจ

1. ประเมินจากปริมาณสินค้า

หากสินค้ามีจำนวนมากและหมุนเวียนช้า ต้องใช้โกดังขนาดใหญ่ แต่หากสินค้ามีจำนวนไม่มากแต่หมุนเวียนเร็วให้ใช้โกดังขนาดกลางหรือเล็กก็เพียงพอ

2. ประเมินจากประเภทสินค้า

สินค้าขนาดใหญ่ เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องจักร ต้องใช้พื้นที่มาก แต่หากสินค้าขนาดเล็ก เช่น เครื่องสำอาง เสื้อผ้า ต้องใช้พื้นที่น้อย แต่ต้องมีการจัดเก็บที่เป็นระบบ

3. ประเมินจากรูปแบบธุรกิจ

  • ธุรกิจค้าปลีก ต้องการพื้นที่สำหรับจัดเรียงและหยิบสินค้าได้ง่าย
  • ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ต้องการพื้นที่สำหรับแพ็กและจัดส่ง
  • ธุรกิจผลิต ต้องการพื้นที่สำหรับวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูป

4. ประเมินจากงบประมาณ

หากงบประมาณจำกัด ควรเลือกโกดังขนาดเล็กถึงกลาง และใช้ระบบจัดการสต็อกช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ แต่หากมีงบประมาณมาก สามารถเลือกโกดังขนาดใหญ่เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต

ขนาดโกดังยอดนิยม

1. โกดังขนาดเล็ก (50-200 ตารางเมตร)

เหมาะกับธุรกิจที่เพิ่งเริ่มต้น ขายของออนไลน์ SME ที่ต้องการเก็บของไม่มาก หรือสินค้าที่หมุนเวียนเร็ว เช่น เสื้อผ้า เครื่องสำอาง

ข้อดี

  • ค่าเช่าถูก
  • ดูแลจัดการง่าย
  • เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการความคล่องตัว

2. โกดังขนาดกลาง (200-500 ตารางเมตร)

เหมาะกับผู้ค้าส่งหรือผู้ผลิตรายย่อยที่มีสินค้าหลายประเภท ต้องการพื้นที่จัดเรียงสินค้าและขนส่งในจุดเดียว หรือธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่ต้องการพื้นที่แยกโซน

ข้อดี

  • รองรับสินค้าหลากหลายประเภท
  • มีพื้นที่สำหรับจัดการคำสั่งซื้อ
  • คุ้มค่ากับธุรกิจที่กำลังเติบโต

3. โกดังขนาดใหญ่ (500-1,000 ตารางเมตร)

เหมาะกับโรงงานผลิตที่ต้องการพื้นที่จัดเก็บวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูป หรือธุรกิจที่มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว

ข้อดี

  • รองรับปริมาณสินค้าจำนวนมาก
  • สามารถติดตั้งระบบอัตโนมัติ เช่น WMS หรือหุ่นยนต์จัดการสินค้า
  • รองรับการเติบโตในระยะยาว

ปัจจัยอื่นที่ต้องพิจารณานอกจากขนาดโกดัง

1. ความสูงของหลังคา หากโกดังสูงกว่า 8 เมตร จะสามารถจัดเก็บแบบซ้อนพาเลทหรือใช้ชั้นวางสูงได้มากขึ้น ประหยัดพื้นที่ในแนวดิ่ง
2. พื้นที่ลานจอดและขนส่ง หากมีรถสิบล้อหรือรถเทรลเลอร์เข้าออก ต้องมีพื้นที่เพียงพอสำหรับการกลับรถและจอดขนของ
3. ระบบพื้นและรับน้ำหนัก สำหรับโกดังที่เก็บเครื่องจักรหรือสินค้าหนัก ควรตรวจสอบว่าสามารถรองรับได้กี่ตันต่อตารางเมตร
4. ระบบความปลอดภัย เช่น กล้องวงจรปิด ระบบเข้าออกอัตโนมัติ หรือรปภ. 24 ชม. เพื่อป้องกันความเสียหายของทรัพย์สิน
5. ทำเลที่ตั้ง ควรอยู่ใกล้เส้นทางขนส่งหลัก เช่น ทางด่วน มอเตอร์เวย์ หรือท่าเรือ เพื่อลดเวลาขนส่งและต้นทุนโลจิสติกส์

วิธีประเมินพื้นที่โกดังเบื้องต้นแบบง่ายๆ

ลองใช้สูตรนี้ช่วยคำนวณคร่าวๆ ก่อนตัดสินใจเช่า
พื้นที่โกดังที่ต้องการ = (ปริมาตรสินค้าทั้งหมด ÷ ความสูงชั้นวาง) × 1.2
เช่น สินค้ามีปริมาตรรวม 600 ลบ.ม. ใช้ชั้นวางสูง 4 ม.
พื้นที่ที่ต้องใช้ = (600 ÷ 4) × 1.2 = 180 ตร.ม.
หมายความว่า คุณควรเลือกโกดังที่มีพื้นที่ไม่น้อยกว่า 180 ตร.ม. เพื่อให้มีที่ว่างสำหรับการขนถ่ายและทางเดิน

เทคนิคเลือกโกดังให้เหมาะกับธุรกิจ

1. วิเคราะห์การเติบโตของธุรกิจใน 3–5 ปีข้างหน้า หากคาดว่าจะขยายธุรกิจ ควรเลือกโกดังที่สามารถรองรับการเติบโตได้
2. เลือกทำเลที่สะดวกต่อการขนส่ง ทำเลที่ดีช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์และเพิ่มความรวดเร็วในการจัดส่ง
3. ตรวจสอบระบบภายในโกดัง เช่น ระบบไฟฟ้า ระบบน้ำ ระบบรักษาความปลอดภัย และระบบควบคุมอุณหภูมิ
4. เปรียบเทียบราคาและบริการเสริม บางโกดังมีบริการเสริม เช่น ระบบจัดการสต็อก หรือรถขนส่ง ซึ่งช่วยลดต้นทุนเพิ่มเติม
5. ทำสัญญาเช่าอย่างรอบคอบ ตรวจสอบเงื่อนไขการเช่า ระยะเวลา และค่าใช้จ่ายแฝงให้ชัดเจน

การเลือกขนาดโกดังเก็บของให้เหมาะกับธุรกิจไม่ใช่แค่การดูตัวเลขพื้นที่ แต่คือการมองภาพรวมของการดำเนินงานทั้งระบบ ตั้งแต่ปริมาณสินค้า การจัดเก็บ การขนส่ง ไปจนถึงงบประมาณระยะยาว หากวางแผนดีตั้งแต่ต้น คุณจะสามารถควบคุมต้นทุนได้ดี เพิ่มประสิทธิภาพโลจิสติกส์ และพร้อมขยายธุรกิจในอนาคตได้อย่างมั่นคง

บทความที่เกี่ยวข้อง

PARK FACTORY ผู้ให้บริการขายโกดัง และให้เช่าโกดังโรงงานสำหรับ SME ในเขตกรุงเทพ และปริมณฑล

หากคุณกำลังมองหาโกดังคลังสินค้า ที่ Park Factory เราเป็นผู้ให้บริการโกดังโรงงานสำหรับ SME ด้วยโครงการสีเขียว สภาพแวดล้อมสวยงามน่าอยู่ ให้ความสำคัญในทุกรายละเอียดของโกดังทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างอาคาร หรือ Landscape ออกแบบตามหลักฮวงจุ้ย เพื่อให้ผู้เช่าได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด → เข้าชมโครงการ

ช่องทางการติดต่อ PARK FACTORY

ที่ตั้ง : 176 ซอยกาญจนาภิเษก 5 แขวงหลักสอง เขตบางแค กรุงเทพฯ 10160
เบอร์โทรติดต่อ : 092-379-7444, 081-751-4440
อีเมล์ : [email protected]
Google Map : https://maps.app.goo.gl/STYgHNRPHGAZZ6SX8

Scroll to Top