โรงงานแบบไหนเหมาะกับสินค้าประเภทอาหารและยา

การผลิตสินค้าอาหารและยาเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องอาศัยมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด เพราะสินค้ากลุ่มนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับสุขภาพและชีวิตของผู้บริโภค ดังนั้นการเลือกโรงงานผลิตที่เหมาะสมจึงไม่ใช่เพียงเรื่องของต้นทุนหรือขนาดกำลังการผลิต แต่ต้องคำนึงถึงมาตรฐานด้านสุขอนามัย กระบวนการควบคุมคุณภาพ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หากผู้ประกอบการเลือกโรงงานผิด อาจทำให้เกิดปัญหาสินค้าไม่ได้มาตรฐาน ถูกเรียกคืน หรือเสียความน่าเชื่อถือในตลาดได้

เหตุผลที่โรงงานอาหารและยาต้องมีมาตรฐานสูง

1. ป้องกันการปนเปื้อน อาหารและยาเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผู้บริโภครับเข้าสู่ร่างกาย ความสะอาดของกระบวนการจึงสำคัญเป็นพิเศษ
2. สร้างความเชื่อมั่น การมีใบรับรองมาตรฐาน เช่น GMP, HACCP หรือ ISO ทำให้ลูกค้าและคู่ค้ารู้สึกมั่นใจ
3. ปฏิบัติตามกฎหมายในประเทศไทย การผลิตอาหารและยาต้องได้รับการอนุญาตจาก อย. (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) หากโรงงานไม่ได้มาตรฐานก็ไม่สามารถผลิตได้
4. เพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน โรงงานที่ผ่านการรับรองสามารถผลิตสินค้าเพื่อส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศได้ง่ายขึ้น

มาตรฐานที่โรงงานอาหารและยาควรมี

1. GMP หรือ Good Manufacturing Practice

GMP เป็นมาตรฐานพื้นฐานที่ทุกโรงงานอาหารและยาจำเป็นต้องมี ครอบคลุมตั้งแต่สถานที่ตั้ง การออกแบบอาคาร ระบบการผลิต ไปจนถึงการจัดการบุคลากร

2. HACCP หรือ Hazard Analysis and Critical Control Points

HACCP เป็นมาตรฐานด้านการวิเคราะห์และควบคุมความเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภค เช่น การปนเปื้อนเชื้อโรค โลหะหนัก หรือสารเคมี

3. ISO 22000 / ISO 9001

เป็นมาตรฐานระบบการจัดการคุณภาพและความปลอดภัยด้านอาหาร เป็นที่ยอมรับในระดับสากล เหมาะกับโรงงานที่ต้องการขยายสู่ตลาดโลก

4. PIC/S GMP

เป็นมาตรฐานสำหรับการผลิตยาโดยเฉพาะ ที่หลายประเทศบังคับใช้ เพื่อรับรองว่ากระบวนการผลิตยาปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

ลักษณะของโรงงานที่เหมาะกับอาหารและยา

1. สถานที่ตั้งเหมาะสม สถานที่ตั้งของโรงงานผลิตอาหารและยาควรอยู่ห่างจากแหล่งมลพิษ โรงงานเคมี หรือฟาร์มสัตว์ เพื่อป้องกันการปนเปื้อน
2. การออกแบบอาคารเป็นระบบปิด มีการแยกโซนสะอาด-ไม่สะอาดอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันสิ่งสกปรกเข้าสู่พื้นที่ผลิต
3. ระบบอากาศและการกรอง ต้องมีระบบ HVAC ที่ควบคุมความดัน อุณหภูมิ และความชื้นในห้องผลิต รวมถึงมี HEPA Filter กรองอากาศ
4. วัสดุก่อสร้างที่ปลอดภัย ผนัง พื้น และเพดานต้องทำจากวัสดุที่ทำความสะอาดง่าย ไม่สะสมเชื้อโรค เช่น อีพ็อกซี่หรือสเตนเลส
5. การจัดเก็บวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ ต้องมีคลังสินค้าที่แยกกันระหว่างวัตถุดิบดิบ สินค้าระหว่างผลิต และสินค้าสำเร็จรูป
6. ระบบบำบัดน้ำและน้ำเสีย น้ำที่ใช้ต้องสะอาดตามเกณฑ์ ส่วนระบบน้ำเสียต้องบำบัดก่อนปล่อยออก
7. มาตรการความปลอดภัยสำหรับบุคลากร ต้องมีชุดป้องกัน (PPE) เช่น หมวกคลุมผม ถุงมือ หน้ากาก และมีห้องเปลี่ยนชุดก่อนเข้าพื้นที่ผลิต

ตัวอย่างโรงงานที่เหมาะกับสินค้าอาหาร

1. โรงงานผลิตอาหารสำเร็จรูป เช่น ขนมขบเคี้ยว อาหารพร้อมทาน ต้องมีสายการผลิตอัตโนมัติและการควบคุมอุณหภูมิ
2. โรงงานผลิตอาหารเสริม เน้นมาตรฐาน GMP และ HACCP เป็นหลัก รวมถึงต้องผ่าน อย. เพื่อให้สามารถวางจำหน่ายได้
3. โรงงานแปรรูปเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์นม ต้องมีระบบควบคุมความเย็นและการตรวจสอบเชื้อจุลินทรีย์อย่างเคร่งครัด

ตัวอย่างโรงงานที่เหมาะกับสินค้ายา

1. โรงงานผลิตยาแผนปัจจุบัน ต้องมีมาตรฐาน PIC/S GMP และการควบคุมคุณภาพ QC/QA ในทุกขั้นตอน
2. โรงงานผลิตสมุนไพรและยาสมุนไพรแปรรูป ต้องใช้วัตถุดิบที่ผ่านการตรวจสอบ มีพื้นที่จัดเก็บที่แห้งและสะอาด
3. โรงงานผลิตเวชภัณฑ์และเครื่องมือแพทย์ ต้องมี Clean Room ระดับสูง ป้องกันฝุ่นและเชื้อโรค

วิธีเลือกโรงงานที่เหมาะสมสำหรับผู้ประกอบการ

1. ตรวจสอบใบอนุญาตและมาตรฐาน ดูว่าโรงงานมีใบรับรองจาก อย. หรือมาตรฐานสากลที่เกี่ยวข้องหรือไม่
2. ดูผลงานที่ผ่านมา โรงงานที่มีประสบการณ์จะช่วยลดความเสี่ยงในการผลิตสินค้าไม่ได้มาตรฐาน
3. ประเมินกำลังการผลิต เลือกโรงงานที่รองรับปริมาณการผลิตได้ตามความต้องการของธุรกิจ
4. ความโปร่งใสและการสื่อสาร โรงงานควรเปิดให้ผู้ประกอบการเข้าเยี่ยมชม และรายงานผลการตรวจสอบคุณภาพอย่างต่อเนื่อง
5. ต้นทุนที่สมเหตุสมผล ไม่ควรเลือกเพียงเพราะราคาถูกที่สุด แต่ต้องคำนึงถึงคุณภาพและความปลอดภัยเป็นหลัก

โรงงานที่เหมาะกับการผลิตสินค้าอาหารและยา ไม่ได้ขึ้นอยู่แค่เครื่องจักรทันสมัยหรือราคาค่าใช้จ่าย แต่ต้องมีมาตรฐานด้านความปลอดภัยและคุณภาพอย่างเข้มงวด ตั้งแต่การเลือกทำเล การออกแบบอาคาร ระบบควบคุมอากาศ วัสดุที่ใช้ก่อสร้าง ไปจนถึงมาตรฐานสากลอย่าง GMP, HACCP, ISO และ PIC/S GMP การเลือกโรงงานที่ถูกต้องจะช่วยให้สินค้าได้รับความเชื่อมั่นจากผู้บริโภค ตรงตามข้อกำหนดของกฎหมาย และเพิ่มโอกาสขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ ดังนั้น ผู้ประกอบการที่กำลังมองหาโรงงานผลิตสินค้าอาหารและยา ควรให้ความสำคัญกับมาตรฐาน ความน่าเชื่อถือ และระบบการควบคุมคุณภาพ มากกว่าการเลือกเพียงราคาที่ถูกที่สุด เพราะในอุตสาหกรรมนี้ ความปลอดภัยของผู้บริโภคต้องมาก่อนเสมอ

บทความที่เกี่ยวข้อง

PARK FACTORY ผู้ให้บริการขายโกดัง และให้เช่าโกดังโรงงานสำหรับ SME ในเขตกรุงเทพ และปริมณฑล

หากคุณกำลังมองหาโกดังคลังสินค้า ที่ Park Factory เราเป็นผู้ให้บริการโกดังโรงงานสำหรับ SME ด้วยโครงการสีเขียว สภาพแวดล้อมสวยงามน่าอยู่ ให้ความสำคัญในทุกรายละเอียดของโกดังทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างอาคาร หรือ Landscape ออกแบบตามหลักฮวงจุ้ย เพื่อให้ผู้เช่าได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด → เข้าชมโครงการ

ช่องทางการติดต่อ PARK FACTORY

ที่ตั้ง : 176 ซอยกาญจนาภิเษก 5 แขวงหลักสอง เขตบางแค กรุงเทพฯ 10160
เบอร์โทรติดต่อ : 092-379-7444, 081-751-4440
อีเมล์ : [email protected]
Google Map : https://maps.app.goo.gl/STYgHNRPHGAZZ6SX8






Scroll to Top