เลือกชั้นวางของในโกดังอย่างไรให้เหมาะกับประเภทสินค้า

การจัดเก็บสินค้าในโกดังถือเป็นหัวใจสำคัญของการบริหารคลังสินค้า เพราะไม่ใช่เพียงการวางของให้เต็มพื้นที่เท่านั้น แต่ต้องทำให้หยิบง่าย ปลอดภัย และใช้พื้นที่ได้คุ้มค่า ซึ่งตัวช่วยหลักก็คือ “ชั้นวางของ” (Racking System) ที่ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับสินค้าในลักษณะต่างๆ แต่การเลือกชั้นวางของไม่ใช่ว่าแบบไหนก็ได้ ต้องพิจารณาตามประเภทสินค้า น้ำหนัก การหมุนเวียน และงบประมาณ เพื่อให้เหมาะสมกับธุรกิจที่สุด

ความสำคัญของชั้นวางของในโกดัง

ชั้นวางของในโกดังมีบทบาทมากกว่าการจัดเรียงสินค้า เพราะมันส่งผลต่อความปลอดภัยของพนักงานและสินค้า, ความเร็วในการหยิบจับและจัดส่ง, การใช้พื้นที่แนวตั้งอย่างมีประสิทธิภาพ, การควบคุมสต็อกและการตรวจสอบสินค้า และความสามารถในการปรับเปลี่ยนตามฤดูกาลหรือแคมเปญ หากเลือกชั้นวางไม่เหมาะสม อาจทำให้เกิดปัญหา เช่น พื้นที่ไม่พอ สินค้าเสียหาย หรือแม้แต่เกิดอุบัติเหตุในคลังสินค้าได้

ปัจจัยที่ควรพิจาณาก่อนเลือกชั้นวางของในโกดัง

ก่อนตัดสินใจเลือกชั้นวาง คุณควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้

1. ประเภทสินค้า

  • สินค้าขนาดเล็ก เช่น อะไหล่ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
  • สินค้าขนาดใหญ่ เช่น เครื่องจักร กล่องบรรจุภัณฑ์
  • สินค้าที่ต้องควบคุมอุณหภูมิ เช่น อาหาร ยา
  • สินค้าที่มีน้ำหนักมาก เช่น วัตถุดิบอุตสาหกรรม

2. น้ำหนักและขนาด

  • ชั้นวางต้องรองรับน้ำหนักของสินค้าได้อย่างปลอดภัย
  • ควรมีการคำนวณน้ำหนักต่อชั้นและต่อโครงสร้างรวม

3. ความถี่ในการหยิบจับ

  • สินค้าที่หยิบบ่อยควรอยู่ในตำแหน่งที่เข้าถึงง่าย
  • สินค้าที่เก็บระยะยาวสามารถวางไว้ในตำแหน่งสูงหรือลึก

4. ระบบจัดการคลังสินค้า (WMS)

  • หากใช้ระบบบาร์โค้ดหรือ RFID ควรเลือกชั้นวางที่รองรับการติดตั้งอุปกรณ์เสริม
  • ควรมีช่องทางเดินที่เหมาะสมกับการใช้รถเข็นหรือรถยก

ประเภทของชั้นวางของในโกดัง

ชั้นวางในโกดังมีหลายประเภท โดยแต่ละแบบมีคุณสมบัติและความเหมาะสมที่แตกต่างกัน ดังนี้

1. ชั้นวางแบบ Selective Racking

มีคุณสมบัติเข้าถึงสินค้าแต่ละพาเลทได้โดยตรง และเหมาะกับสินค้าที่หลากหลายและหยิบบ่อย เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า

ข้อดี

  • ยืดหยุ่นสูง
  • เหมาะกับโกดังขนาดกลางถึงใหญ่

ข้อเสีย

  • ใช้พื้นที่มากกว่าระบบอื่น

2. ชั้นวางแบบ Drive-In / Drive-Through Racking

ชั้นวางแบบนี้รถยกสามารถเข้าไปในช่องวางสินค้าได้ จึงเหมาะกับสินค้าที่มีจำนวนมากและประเภทเดียวกัน เช่น สินค้าแช่แข็งที่บรรจุในพาเลทเดียวกัน

ข้อดี

  • ใช้พื้นที่ได้คุ้มค่า
  • เหมาะกับระบบ First-In Last-Out (FILO)

ข้อเสีย

  • เข้าถึงสินค้าด้านในยาก

3. ชั้นวางแบบ Push Back Racking

ชั้นวางแบบ Push Back Racking สามารถวางสินค้าซ้อนกันในแนวลึกได้ โดยใช้แรงผลัก จึงเหมาะกับสินค้าที่มีการหมุนเวียนปานกลาง สินค้าบรรจุกล่องที่มีขนาดเท่ากัน เช่น เครื่องดื่ม ขนม

ข้อดี

  • ประหยัดพื้นที่
  • เข้าถึงสินค้าด้านหน้าได้ง่าย

ข้อเสีย

  • ไม่เหมาะกับสินค้าที่หลากหลาย

4. ชั้นวางแบบ Cantilever Racking

ชั้นวางแบบนี้จะไม่มีเสาคั่นกลาง จึงเหมาะกับสินค้ายาว เช่น ท่อ ไม้ เหล็ก

ข้อดี

  • รองรับสินค้าที่มีความยาวพิเศษ
  • ปรับระดับแขนรับน้ำหนักได้

ข้อเสีย

  • ต้องมีการคำนวณน้ำหนักอย่างแม่นยำ

5. ชั้นวางแบบ Mezzanine Floor

สามารถเพิ่มพื้นที่จัดเก็บโดยใช้โครงสร้างชั้นลอย จึงเหมาะกับโกดังที่มีเพดานสูง เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่า เช่น อีคอมเมิร์ซ

ข้อดี

  • เพิ่มพื้นที่จัดเก็บโดยไม่ต้องขยายพื้นที่แนวราบ
  • สามารถใช้เป็นพื้นที่สำนักงานหรือจัดเก็บเอกสาร

ข้อเสีย

  • ต้องมีโครงสร้างที่แข็งแรงและปลอดภัย

เทคนิคการจัดชั้นวางของในโกดัง

นอกจากเลือกชั้นให้เหมาะแล้ว ยังต้องรู้วิธีการจัดวางที่ถูกต้องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ดังนี้

  • วางทางเดินให้เหมาะสม มาตรฐานทั่วไปคือกว้าง 2.5–3 เมตร เพื่อให้โฟล์คลิฟต์วิ่งได้สะดวก
  • แบ่งโซนสินค้า สินค้าที่ขายดีควรอยู่ใกล้จุดโหลด สินค้าที่เคลื่อนไหวน้อยให้อยู่ด้านใน
  • ใช้การติดป้าย ช่วยให้หยิบของเร็วขึ้น ลดความผิดพลาดในการทำงาน
  • คำนึงถึงความปลอดภัย ควรตรวจสอบชั้นวางเป็นประจำ และห้ามวางเกินน้ำหนักที่กำหนด

ข้อควรระวังในการเลือกชั้นวางของในโกดัง

  • เลือกชั้นวางตามราคาถูกที่สุด โดยไม่สนใจความแข็งแรง
  • ไม่วิเคราะห์ลักษณะสินค้าให้ละเอียดก่อนซื้อ
  • ลืมเผื่อการขยายธุรกิจในอนาคต
  • วางชั้นวางแน่นเกินไป จนขนส่งภายในโกดังลำบาก

การเลือกชั้นวางของให้เหมาะสมกับธุรกิจในโกดัง มีผลต่อการจัดการ ความปลอดภัย และต้นทุนธุรกิจเป็นอย่างมาก หากเลือกชั้นวางได้ถูกต้องจะช่วยให้การทำงานในโกดังเป็นระบบระเบียบ ใช้พื้นที่คุ้มค่า และเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บสินค้าอย่างยั่งยืน

บทความที่เกี่ยวข้อง

PARK FACTORY ผู้ให้บริการขายโกดัง และให้เช่าโกดังโรงงานสำหรับ SME ในเขตกรุงเทพ และปริมณฑล

หากคุณกำลังมองหาโกดังคลังสินค้า ที่ Park Factory เราเป็นผู้ให้บริการโกดังโรงงานสำหรับ SME ด้วยโครงการสีเขียว สภาพแวดล้อมสวยงามน่าอยู่ ให้ความสำคัญในทุกรายละเอียดของโกดังทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างอาคาร หรือ Landscape ออกแบบตามหลักฮวงจุ้ย เพื่อให้ผู้เช่าได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด → เข้าชมโครงการ

ช่องทางการติดต่อ PARK FACTORY

ที่ตั้ง : 176 ซอยกาญจนาภิเษก 5 แขวงหลักสอง เขตบางแค กรุงเทพฯ 10160
เบอร์โทรติดต่อ : 092-379-7444, 081-751-4440
อีเมล์ : [email protected]
Google Map : https://maps.app.goo.gl/STYgHNRPHGAZZ6SX8




Scroll to Top